แชร์เทคนิควางแผนการเงินเพื่ออนาคต รับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด ปฏิเสธไม่ได้ว่เงินเป็นปัจจัยสำคัญในการ
ในการดำรงชีพ หลายคนพยายามสร้างรากฐานความมั่นคงในชีวิต ด้วยการออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย นั่นก็เพื่อรับมือกับความไม่แน่ไม่นอน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินยังพอมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น หรือเพื่อลงทุนต่อยอดในอนาคต วันนี้เราจึงจะมาแชร์เทคนิค การวางแผนการเงินอย่างไปแบบแผน ซึ่งมีหลักการดังนี้ค่ะ
แชร์เทคนิควางแผนการเงินเพื่ออนาคต

รู้จักตัวเอง
เทคนิคในการวางแผนการเงินอย่างแรก ที่จำเป็นก็คือคุณจะต้องรู้จักตัวเอง สำรวจว่าตัวเองมีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไร รายรับกับรายจ่ายมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เมื่อรู้สถานะทางการเงินของตัวเองแล้ว ลำดับต่อไปคือการทำบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการวางแผนการเงิน เป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป และถึงแม้จะพยายามแล้วแต่วินัยทางการเงินก็ยังไม่ได้ดีนัก
ฉะนั้น ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า เรามีนิสัยการใช้เงินอย่างไร และแก้ด้วยวิธีไหนถึงจะสามารถเก็บเงินได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเราเป็นคนที่ไม่ชอบจดรายรับรายจ่าย วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือ เมื่อได้เงินมาให้โอนเงินเข้าบัญชีเก็บไว้ก่อน และเหลือเงินรายเดือนในบัญชี สำหรับใช้จ่ายประจำวัน เงินที่เราใช้จ่ายก็จะไม่ปนกับเงินออมที่ต้องเก็บนั่นเอง หรือจะกำหนดให้ตัวเองใช้เงินได้วันละเท่าไหร่ และเผื่อเงินสำรองอีก 20% ของเงินที่ใช้ได้ต่อเดือน เพื่อให้เข้มงวดกับการเก็บจนเกินไป จะทำให้มีวินัยมากขึ้น
กำหนดเป้าหมายในการออม
หลังจากที่คุณได้สำรวจรายรับ – รายจ่าย ในแต่ละเดือนแล้ว การกำหนดเป้าหมายในการออมเงิน ก็เป็นสิ่งสำคัญ ในการวางแผนการเงิน เพราะจะทำให้คุณมีทิศทางที่แน่นอน ไม่ไร้จุดหมาย เป้าหมายที่ดีจะต้องมีรายละเอียด มีกำหนดระยะเวลา เพื่อความชัดเจนในการปฏิบัติ รวมทั้งเป้าหมายควรมีระยะสั้นกลางและยาว เพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวความสำเร็จในแต่ละช่วง ทำให้มีกำลังใจไม่ท้อก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายระยะยาว ไม่ควรผลัดวันเพราะจะทำให้ติดนิสัย และขาดวินัยในการออมเงิน

มีวินัยในการออม
สิ่งที่จะทำให้แผนการเงินส่วนใหญ่ ไม่ประสบความสำเร็จ ก็คือไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้ ดังนั้น การออมที่ดีควรจะมีวินัยลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จะทำให้แผนนั้นเป็นจริงได้ วิธีง่าย ๆ คือเมื่อได้รับเงินเดือนมาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ออมก่อนหรือลงทุนก่อน ค่อยนำส่วนที่เหลือมาใช้จ่าย
เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ โอกาสที่จะเก็บเงินได้ตามเป้าหมายมีน้อยมาก เพราะจะมีข้ออ้างต่าง ๆ นานา เพื่อไม่ทำตามแผน อีกวิธีคือสั่งหักบัญชีอัตโนมัติเป็นประจำทุกเดือน ทำให้เก็บออมและลงทุนได้ตามแผนที่วางไว้ และถ้าสามารถบรรลุเป้าหมายระยะสันได้ โอกาสที่ระยะกลางและยาวจะประสบความสำเร็จมีได้สูง เพราะเราคุ้นเคยกับการออมก่อนใช้นั่นเอง
ทบทวนแผนการเงินอยู่เป็นประจำ
การทบทวนแผนการเงินเป็นประจำ จะทำให้เราสามารถประเมินได้ว่า แผนที่วางไว้ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ผลตอบแทนที่ได้รับเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่ สาเหตุเพราะอะไร เราจะได้ทบทวนหรือปรับแผนให้เหมาะสมกับ สภาวะการเงินในตอนนั้น รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะที่ควร ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณควรทบทวนเป้าหมายของตัวเอง อยู่เป็นประจำว่ายังเหมือนเดิมหรือไม่ มีอะไรที่อยากปรับเปลี่ยน หรือมีความสามารถ ในการรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงควรจะเพิ่มเงินลงทุนใหม่แล้วหรือยัง เพื่อให้เป้าหมายต่าง ๆ ที่วางไว้มีความเป็นไปได้มากที่สุด

จัดการความเสี่ยงเรื่องทรัพย์สิน ชีวิต และสุขภาพ ให้ดี
ข้อนี้คือส่วนสำคัญมาก ๆ ของแผนการเงินแบบองค์รวมเช่นกัน เพราะในชีวิตของคนเราทุก ๆ คนอาจจะต้อง ประสบกับเรื่องไม่คาดฝัน ทั้งอาจจะใหญ่บ้าง รุนแรงบ้าง เช่น ไฟไหม้โรงงาน รถชน รถหาย เป็นโรคร้ายแรง หรือ กลายเป็นคนพิการทุพพลภาพ หรือ อาจจะเล็กน้อยบ้าง เช่น หกล้ม รถเฉี่ยว ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนั้น ถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้วไม่มีผลกับสถานะการเงินของเรา ก็แสดงว่าเราวางแผนดีแล้ว แต่ถ้ามันเกิดกับเราแล้วมีผลทำให้การเงินของเราเสียหาย ก็แสดงว่าแผนการเงินของเราน่าจะยังจัดการเรื่องนี้ไม่ดี
ซึ่งเรื่องนี้สำคัญเพราะเป็นเรื่องที่ถ้าเกิดความเสียหายแล้ว เราไม่สามารถจะกลับไปแก้ได้ทัน เช่น ถ้าต้องเป็นมะเร็งแล้วเรากลับไม่มีประกันคุ้มครอง แถมต้องเสียเงินค่ารักษามากมาย รวมถึงอาจจะมีผลทำให้ทำงานได้ลดลง ก็อาจจะทำให้การเงินมีปัญหาได้ แถมเราจะกลับไปเริ่มทำประกันคุ้มครองใหม่ก็คงไม่สามารถทำได้แล้ว ข้อนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้หลาย ๆ ครอบครัวมีปัญหาทางการเงินแบบล้มทั้งยืน
ดังนั้นการจัดการที่เหมาะสมกับเรื่องนี้ก็คือการโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันรับผิดชอบไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประกันรถ ประกันไฟไหม้บ้าน ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และ ประกันโรคร้ายแรง ซึ่งก็ควรจัดให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของเราด้วย ไม่ทำมากเกินไปจนจ่ายเบี้ยไม่ไหว หรือ ทำน้อยเกินไปจนไม่สามารถช่วยอะไรได้หากต้องเจอเหตุการณ์ร้ายแรงจริง ๆ